Wednesday 15 February 2012

seed stitch no. 1 : introduction


ที่จริงคลาสวันนั้นจะต้องมี 8 คน  แต่มีเหตุอันจำเป็น ทำให้อีก 3 นาง ที่ลงชื่อไว้ จ่ายเงินแล้ว 
ยังไม่สามารถมาเรียนได้  คลาสงานอดิเรกของแม่บ้าน มักเป็นเช่นนี้ คงมีเรื่องอื่น ๆ ของครอบครัว
ที่ถูกจัดลำดับให้สำคัญกว่า  แหม แค่มาลงเรียน ก็ดูจริงจังมากพอแล้ว จะติดโน่นนี่บ้าง 
จะเป็นไรมี ... พวกนาง ๆ คงจะเปรย ๆ แบบนั้น

ก่อนจะเข้าชั่วโมงแรกของการเรียนปักผ้า พวกเราก็เริ่มต้นด้วยการทักทายทำความรู้จัก 
แนะนำชื่อ  หน้าที่การงาน  ดีที่ไม่ต้องบอกอายุ ซึ่งก็คงไม่น้อยหน้าไปกว่ากันเท่าไร
โชคดีจริง ๆ ที่ไม่ได้มีเด็กสาวโน๊ะเน๊ะหน้าใสมาเรียนด้วย   ไม่งั้นบรรดาสาวใหญ่คงเพลีย  
กับการตามไม่ทัน และสภาพสายตาฝ้าฟาง ในแว่นสายตายาวของทุกคน  ฮ่า ๆ

ผู้หญิงหน้าคุ้น เสียงคุ้นคนนั้น เป็นคนวงการเดียวกับฉันจริง ๆ ด้วย  
แล้วก็เลยได้กล่าวอ้างถึงอดีตกาล อันเป็นที่สนุกสนาน
และเราก็ช่างคล้ายคลึงกัน ในแง่กำลังเบื่อชีวิต ณ ปัจจุบัน ที่อยู่ระหว่าง หาจุดเปลี่ยน 

เธอเล่าว่า เธอเจอแล้ว เธอเพิ่งตกหลุมรักงานผ้าได้ไม่นาน และกำลังหมกมุ่นอยู่เชียว
การมาเรียนปัก ก็เพื่อจะเอาไปสร้างลูกเล่นใส่งานผ้า
การปักผ้า และเรื่องเล่า ถึงการ "ให้ " เกือบดูขัดแย้งกับท่าทาง แข็ง ๆ ห้าว ๆ  ของเธอ
ดูเหมือนจากนี้ไป และก่อนหน้านั้น เธอจะอยู่เพื่อ "ให้"   ซะมากกว่า
เมื่อมาถึงจุดนึงที่เราหยุดเรียกร้อง
หรือพูดง่าย ๆ ว่าปลงได้แล้ว กับเรื่องรอบตัว  เราก็มักปรารถนาที่จะ ให้
ฉันก็อยากจะ ปวารณาตัวเช่นนั้นได้บ้าง  อย่างแท้จริง

และสำหรับคนนุ่มนิ่มอย่างฉัน จุดประสงค์หลักจริง ๆ 
ฉันเคยอยากเขียนหนังสือ  และความอยากนั้นยังคงอยู่ แค่ระเหยหาย ไปบ้าง
กับเรื่องอยากอื่น ๆ ที่มีมากเกินไป ช่างมีเรื่องใหม่ ๆ ให้อยากทำตลอดเวลา  
และ ณ จุดนี้ ฉันอยากจะเล่าเรื่องด้วยงานผ้า  อยากทำหนังสือภาพประกอบ จากงานผ้า

เวลาเจอคนคอเดียวกัน ชอบคล้าย ๆ กัน  จะไปทางเดียวกัน  มันอุ่นใจดี
ก็ได้แต่ส่งแรง ตั้งใจ ขอให้ทางของเราราบรื่น สวยงาม และประสบความสำเร็จ
สำเร็จในที่นี้ ขอแค่ให้ได้ลงมือทำจริง ๆ ก็ดีเยี่ยมแล้ว  และถ้ามันจะมีทางไปต่อ
จนถึงขั้นเลี้ยงชีพได้ นั่นก็คงสุดยอดไปเลย

แล้วเรื่องตลกก็คือ การฮิฮะ แบบคนวงการเดียวกัน ทำให้พี่คนนึง 
เปรย ๆ แบบน้อยเนื้อต่ำใจว่า  คงมีแต่เราที่ไม่ได้ทำอะไร เป็นแค่แม่บ้านธรรมดา 
(ที่หาเรื่องเย็บปักถักร้อยทำอยู่เป็นเนืองนิจ)
นั่นทำให้คนโฆษณาอย่างเราทั้งคู่  แทบจะกรี๊ดเป็นเสียงเดียวกันว่า 
แลกชีวิตกันมั๊ยคะ ... น้องอยากมีชีวิตแบบนั้นจังเลยค่ะ
อยู่บ้าน นั่งเงียบ อยู่กับผ้า กับเข็ม กับด้าย

แม่บ้านที่มีชีวิตราบเรียบบางคน ก็คงเคยฝันอยากทำงานประจำ  
คนทำงานบัญชี ก็คงเคยฝันอยากทำงานสายโฆษณา
ณ ตอนนี้ คนทำงานโฆษณา อยากจะอยู่เงียบ ๆ นิ่ง ๆ บ้างแล้ว

คนที่มีชีวิตแบบหนึ่ง ก็ดิ้นรนฝันไปถึงชีวิตอีกแบบหนึ่งเสมอหรือเปล่านะ
คงไม่มีอะไรดีที่สุด ไม่ว่าเราจะเลือกแบบไหน มันก็คงมีทั้งสิ่งที่เสียไป และสิ่งที่ได้มา
ก็คงต้องแก้ปัญหาความสุขเฉพาะหน้ากันไป ไขว่คว้าไปตามสภาพการณ์ ที่พอจะทำได้


ว่าแล้วก็ให้อิจฉาบางประเทศ ที่รัฐบาลสนับสนุนคนทำงานศิลปะ 
หรือไม่ต้องรอรัฐบาลจัดการ  ภาคเอกชน หรือคนมีอันจะกิน ที่เขาเห็นคุณค่า 
ยินดีมาเป็นสปอนเซอร์ให้คนที่ทำงานอาร์ต 
เอาเวลาไปตั้งใจทำอาร์ตแต่เพียงอย่างเดียว ไม่ต้องห่วงเรื่องทำมาหากิน

แต่อย่างว่า ประเทศยากจนอย่างเรา แค่ปัญหาปากท้องยังแก้ไม่ได้ 
นับประสาอะไรกับเรื่องศิลปะ ที่มันเกินเลยไปว่า ปัจจัย 4 กันหล่ะ

ว่าแต่  ณ ตอนนี้ คนที่มีชีวิตอยู่กับการทำงานศิลปะ คนที่มีเวลา 
คนที่ไม่ต้องดิ้นรน  คงมีบ้างละนะ ที่เขาจะฝันไปถึงจุดอื่น 
จุดไหนล่ะ ที่คนทำงานเพียวอาร์ต เขาฝันถึง

No comments:

Post a Comment