Sunday 25 November 2012

first dress


มันเคยเป็นความคิดแบบลม ๆ แล้ง ๆ ตั้งแต่เริ่มโตพอจะมีระบบคิดเป็นของตัวเอง
ว่าอยากจะดีไซน์เสื้อผ้าใส่  เสียดายที่ทางบ้าน ไม่ได้ตอบสนอง สนับสนุน
ความคิดฝันของเด็กที่ดูจะชอบอะไรเหนือจริง  ที่จริงมีโอกาสได้ร่ำเรียนอะไรซักอย่าง
คงนับเป็นโชคดีแล้ว สำหรับเด็กบ้านแตก ที่แทบจะไม่มีที่ยืนเป็นของตัวเอง
เพราะเหตุนี้ละมั้ง เด็กคนนั้นก็เลยโตมาอย่างไม่ศรัทธาในความรัก ไม่ไว้วางใจการมีครอบครัว
ถ้าไม่มี ก็ไม่ต้องกลัวการสูญเสีย ไม่ต้องรอวันล่มสลาย ไม่ต้องกลัวพ่อจะตายไปก่อน
ไม่ต้องกลัวแม่มีสามีใหม่ ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีใครเลี้ยงลูก ไม่ต้องกลัวอะไร ๆ อีกหลายอย่าง
เช่นเดียวกับศิลปะ ถ้ามันไม่น่าไว้วางใจนัก ก็ลืมมันเสียเถอะ อย่างที่ผู้ใหญ่บอก ต่อให้ตอนนั้น
เธอวาดรูปได้ดีแค่ไหนก็ตาม

แต่ความคิดง่อย ๆ นั่นยังฝังตัวอยู่เงียบ ๆ ไม่ได้ถูกเลี้ยงบำรุง แต่มันก็แอบเติบโตของมันเอง
อย่างคนมีเชื้อ อย่างช้า ๆ ช้ามาก ๆ กินเวลานานหลายสิบปี ที่มันค่อย ๆ ลามจนท่วมร่าง
แบบที่เจ้าของหัวใจก็ยังไม่รู้ตัว มองไม่เห็น ไม่คิดว่ามันสำคัญ
ปล่อยผ่านให้ยังเป็นแค่พล็อตเพ้อฝัน ไม่ได้เริ่มลงมือทำ ให้มันจริงจัง ทั้งที่ทำได้

มันเคยจะเกิดขึ้นก่อนหน้านี้สิบกว่าปีที่แล้ว  สองสามปีแรกของการเริ่มทำงานประจำ
ไปเทคคอร์สสั้น ๆ หลายอย่าง ทั้งวาดสีน้ำ สีถ่าน ถ่ายรูป  แล้วจบลงที่คอร์สตัดเสื้อผ้า
เหมือนอยากพูดภาษาอังกฤษได้ ก็ต้องเรียนแกรมม่า ฉันใดฉันนั้น
จะตัดเสื้อผ้า ก็ต้องผ่านการเรียนแพทเทิร์น...ฉันไม่ยอมเดินผ่านมันซะงั้น
เราตัดเสื้อผ้าเซอร์ ๆ ได้มั๊ย ไม่ต้องผ่านสูตร ผ่านตัวเลข คำนวณ...ไม่ได้ซินะ
นึกอยากได้ ชิพสำเร็จรูป ที่แค่ฝังลงไปในเนื้อ ก็ตัดเสื้้อผ้าเป็นอย่างเก่งกาจ
โชคดีที่คนเรายังคิดชิพแบบนั้นไม่ได้ ไม่เช่นนั้น  งานฝีมือทุกอย่างบนโลกก็คงสิ้นคุณค่า

เงินหมื่นเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ก็นับว่ามากอยู่  แต่มันก็ไม่มากพอที่จะรักษาความตั้งใจเอาไว้
เรียนได้ 3 ครั้ง ยังไม่ทันได้แตะเนื้อผ้าก็ทิ้งมันซะก่อน แล้วก็ทิ้งทุกอย่าง
กลับไปมีชีวิตดาษ ๆ มีชีวิตทั่วไปแบบไม่ได้อะไรขึ้นมาเลย  หลอกให้เชื้อดีใจ แล้วกลับไปง่อยต่อ

เอาหล่ะ วันนี้ก็มาถึงแล้วซินะ  วันที่เชื้อบ้าไม่ต้องถูกแช่แข็งอีกต่อไป
ของแบบนี้มันใช้ได้กับทุกอย่าง ถ้าอยากจะทำก็ลงมือทำ ทำไปเรียนรู้ไป ไม่ต้องรอพร้อม
ไม่ต้องรอทำเป็น เรียนทฤษฎีให้ทำได้ แล้วค่อยทำ  มันก็คงไม่มีวันทำเป็นขึ้นมาได้
ฉันจะให้อภัยตัวเองทุกอย่าง เรามาเริ่มกันใหม่  เริ่มตรง...ฉันไม่รู้อะไรเกี่ยวกับการตัดเสื้อผ้าเลย

ทุกอย่างต้องเริ่มต้นที่การเลียนแบบ ทำซ้ำ  ก่อนจะสันดาปเป็นตัวเอง... ฉัน copy เสื้อทรงชาวเขา

มาถึงวัยที่กำลังคลั่งสีน้ำเงินมาก ๆ พอดี ก่อนหน้านี้ไม่เคยอยู่ในหัวเลย
สีน้ำเงินเข้ากับเสื้อทรงนี้  มันมาพร้อมกับวัยที่อยากจะเรียบง่าย  แต่ในเรื่องใส่แนวคิดแล้ว
ก็ใช่ว่าจะยอมลงเอยกับความเรียบง่ายเสียทีเดียว


ด้านนี้อุทิศให้พื้นที่เรียบง่าย ถึงอยากจะแก่ตัวอย่างเรียบง่าย แต่ใช่ว่าฉันจะชอบความน้อย เนี้ยบ
ตรงคอปักมือด้วยลาย sashiko เรียกให้หรูไปงั้น มันก็คือการเดินเส้นเนา ผสมเส้นจักร
ใส่เศษผ้ายีนส์ให้ดูรุ่งริ่ง เพื่อทอดสะพานความเป็นกันเอง  ปักดอกแดงนิดหน่อย เก๋ ๆ เล็ก ๆ


ถ้าใส่ด้านนี้ จะออกเป็นญี่ปุ่น ผู้เคร่งอยู่ในนิกายเซน


อีกด้าน ที่เป็นลาย หญิงสาวผู้อ้วกออกมาเป็นฝูงแมว  ได้แรงบันดาลใจมาจากการอ่านเรื่องสั้น ๆ
ของผู้หญิงคนหนึ่ง ที่สะดุดกับชื่อเรื่อง หญิงสาวผู้อ้วกออกมาเป็นฝูงนก
แล้วทำไม ฉันจะอ้วกออกมาเป็นฝูงแมวบ้างไม่ได้


ลายเส้นใบหน้า และนิ้วมือ ยังต้องปักมือ ที่จริงก็ตั้งใจจะปักมือทั้งหมด แต่เห็นทีจะไม่ทันการ
เลยต้องผสมฝีจักร อาจหาญมาก ที่ไม่มีการซักซ้อมก่อน  เพื่อความสดใหม่ และคาดไม่ได้
ดอกไม้ทัดหู ลองม้วนไหมเป็นกลม ๆ แล้วเย็บทับ ตรงตัวเสื้อก็เหมือนกัน
หาทางใช้เศษด้ายที่เก็บไว้ มาขยุ้ม ๆ แล้วเย็บทับ...ชอบมาก ได้ความยุ่งเหยิงในหัวใจ
ที่พร้อมจะอ้วกออกมา

สนุกกับการทดลองเอาโปรแกรมลายจักรมาเล่นตรงโน้นตรงนี้ เป็นเส้นลายกระโปรง
เป็นเส้นผม... จนจักรจะเจ๊งอยู่แล้ว เพิ่งได้ใช้นี่แหล่ะ

ส่วนตรงแมวร่าเริงทั้งหลาย  เหนื่อยมากกับการบังคับฝีจักร ให้เดินตามเส้นร่าง ยากมากนะ
ขอโทษ ที่ทำแมว เกือบไม่เป็นแมว...ดู ๆ ไป จะกลายเป็น แผนที่ดูดาวแมวซะมากกว่า


ยังไม่ค่อยภูมิใจเท่าไร อยากให้มันอลังการงานสร้างกว่านี้...ตบไหล่ตัวเองไม่เป็นไร
ดูเผิน ๆ ไกล ๆ ก็โอเคนะ  คงอีกพักใหญ่ กว่าจะมีเวลาทำงานอลัง ๆ ได้อีก
แผนการสำหรับปีหน้า ดูน่าหนักอกนัก


ลองใส่แล้ว เกือบชอบ  คงต้องทำเชือกรัดเอวหลวม ๆ เพิ่มเป็น option เสริมนะ  สรุป

1 comment: